อกุศลธรรมทั้งหลาย
คือ ความคิดที่ทำให้จิตใจเศร้าหมอง อาทิเช่น ความโกรธ ความเศร้า
มัวเมา ความหลง ความทะยานอยาก ความริษยา ความเกียจคร้าน ความตระหนี่
ความถือตัว ความพยาบาท ความดูหมิ่น ฯลฯ |
หลักแห่งการปฏิบัติธรรม ๕ ประการ
๑. ศีล ด้วยการทำตนให้สงบ ระวังความชั่วทางกาย - ใจ
๒. สมาธิ ต้องฝึกจิต อบรมจิตให้ระงับความวิตกฟุ้งซ่าน
๓. ปัญญา ต้องศึกษาลักษณะจิตด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง ในหลักแห่งความจริง
๔. วิมุตติ ต้องเข้าใจลักษณะแห่งจิต ที่พ้นจากเพลิงทุกข์ ว่าเป็นอย่างไร
๕. วิมุตติญาณทัสสนะ ต้องศึกษาถึงความรู้จักตน ว่าอย่างไรจึงรู้แน่
กายสุจริต วจีสุจริตต มโนสุจริต
หัวใจสำคัญของพระพุทธศาสนา ๓
ประการได้แก่
๑.ไม่ทำความชั่วทั้งปวง
๒.ทำความดีให้ถึงพร้อม
๓.ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส
พระพุทธเจ้าทรงแสดงให้พระอริยสงฆ์จำนวน ๑๒๕๐
รูปที่ต่างมาประชุมโดยพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมายในวันเพ็ญเดือน ๓
(วันมาฆบูชา) เรียกว่า "โอวาทปาติโมกข์ "
อันถือเป็นข้อธรรมที่เป็นประธานของคำสอนทั้งหลาย
ฆราวาสธรรม ๔
คือธรรมสำหรับการครองเรือนในชีวิตของบุคคลทั่วไปได้แก่
๑. สัจจะ คือ พูดจริงทำจริงและซื่อตรง
๒. ทมะ คือ ฝึกหัดแก้ไขปรับปรุง
๓. ขันติ คือ อดทนตั้งใจและขยัน
๔.จาคะ คือ เสียสละ
ธรรมคุ้มครองโลกมี ๒ อย่างคือ
๑.หิริ คือ ความละอายใจในการทำบาป
๒.โอตตัปปะ คือ ความเกรงกลัวผลของการทำชั่ว
อิทธิบาท ๔
หรือธรรมที่ช่วยให้สำเร็จในสิ่งที่ประสงค์ได้แก่
๑. ฉันทะ คือ ความพอใจรักใคร่
๒. วิริยะ คือ ความเพียร
๓. จิตตะ คือ เอาใจฝักใฝ่ ไม่วางธุระ
๔. วิมังสา คือ หมั่นตริตรอง พิจารณาเหตุผล
สัมมัปปาธาน ๔
๑. พยายามเพื่อจะไม่ให้เกิดอกุศลกรรม คือ บาปเกิดในตน
๒. พยายามเพื่อจะละอกุศลธรรม คือ บาปที่เคยเกิดขึ้นแล้วในตน
๓. พยายามเพื่อจะเจริญกุศลธรรม คือ บุญให้มีในตน
๔. พยายามเพื่อรักษากุศลธรรม คือ บุญที่เกิดขึ้นแล้วในตนให้มีอยู่
ข้อแรกคือ ให้ระวังทวารหก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ข้อที่เหลือ คือ ต้องขับไล่ของเก่า คืออย่าไปแยแส ไม่ต้องรำพึง
เพียงแต่เจริญสติ
เมื่อพระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้แล้วได้แสดงปฐมเทศนาโปรดแก่
ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ (ผู้ที่เคยอุปัฏฐากปรนนิบัติพระองค์มาได้แก่ โกณทัญญะ วัปปะ
ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ) เป็นครั้งแรก มรรคอันมีองค์ ๘
นี้เป็นข้อปฏิบัติแบบสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา) ที่ทรงโปรดแก่เหล่าปัญจวัคคีย์
มรรคมีองค์ ๘ ได้แก่
๑.สัมมาทิฏฐิ คือมีปัญญาอันเห็นชอบ
ได้แก่การเห็นในอริยสัจ ๔ คือ
|
ทุกข์ |
|
เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ (สมุทัย) |
|
ความดับทุกข์ (นิโรธ) |
|
ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ (มรรค) |
๒.สัมมาสังกัปปะ คือดำริชอบ ได้แก่
|
ดำริที่จะออกจากกาม (เนกขัมมะ) |
|
ดำริในการไม่พยาบาทปองร้ายผู้อื่น |
|
ดำริในการไม่เบียดเบียนผู้อื่น |
๓.สัมมาวาจา คือเจรจาชอบ ได้แก่การเว้นจากวจีทุจริต ๔
คือไม่ประพฤติชั่วทางวาจาอันได้แก่
|
ไม่พูดเท็จ (มุสาวาทา) |
|
ไม่พูดส่อเสียด ยุยงให้เขาแตกร้าวกัน (ปิสุณาย วาจาย)
|
|
ไม่พูดคำหยาบคาย (ผรุสาย วาจาย) |
|
ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหลไร้สาระ (สัมผัปปลาปา) |
๔.สัมมากัมมันตะ
คือทำการงานชอบโดยประกอบการงานที่ไม่ผิดประเพณี ไม่ผิดกฏหมาย ไม่ผิดศีลธรรม
และเว้นจากการทุจริต ๓ อย่างได้แก่
|
การเบียดเบียนฆ่าสัตว์ตัดชีวิต (ปาณาติบาต) |
|
การลักขโมย และฉ้อฉลคดโกง แกล้งทำลายผู้อื่น (อทินนาทาน)
|
|
การประพฤติผิดในกาม (กาเมสุมิจฉาจาร) |
๕.สัมมาอาชีวะ คือเลี้ยงชีวิตชอบได้แก่
การเว้นจากการเลี้ยงชีพในทางที่ผิด การประกอบสัมมาอาชีพคือ
|
เว้นจากการค้าขายเครื่องประหารมนุษย์และสัตว์ |
|
เว้นจากการค้าขายมนุษย์ไปเป็นทาส |
|
เว้นจากการค้าสัตว์สำหรับฆ่าเป็นอาหาร |
|
เว้นจากการค้าขายน้ำเมา |
|
เว้นจากการค้าขายยาพิษ |
๖.สัมมาวายามะ คือมีความเพียรชอบ ๔ ประการได้แก่
|
เพียรระวังมิให้บาปหรือความชั่วเกิดขึ้น |
|
เพียรละบาปหรือความชั่วที่เกิดขึ้นแล้ว |
|
เพียรทำกุศลหรือความดีให้เกิดขึ้น |
|
เพียรรักษากุศลหรือความดีที่เกิดขึ้นแล้วให้คงอยู่ |
๗.สัมมาสติ คือระลึกชอบได้แก่ การระลึกวิปัฏฐานได้แก่
การระลึกในกาย เวทนา จิต และธรรม ๔ ประการคือ
|
พิจารณากาย ระลึกได้เมื่อรู้สึกสบายหรือไม่สบาย
พิจารณาลมหายใจเข้าออก |
|
พิจารณาเวทนา ระลึกได้เมื่อรู้สึกสุข หรือทุกข์ หรือเฉยๆ
มีราคะ โทสะ โมหะหรือไม่ |
|
พิจารณาจิต ระลึกได้ว่าจิตกำลังเคร้าหมองหรือผ่องแผ้ว
รู้เท่าทันความนึกคิด |
|
พิจารณาธรรมให้เกิดปัญญา
ระลึกได้ว่าอารมณ์อะไรกำลังผ่านเข้ามาในใจ |
๘.สัมมาสมาธิ คือตั้งใจชอบ ทำจิตให้สงบระงับจากกิเลส
เครื่องเศร้าหมอง ให้มีอารมณ์แน่วแน่เป็นอันเดียว เพื่อให้จิตจดจ่อไม่ฟุ้งซ่าน
หาอารมณ์อันไม่มีโทษให้จิตยึด จะได้ไม่พร่าไปหลายทางได้แก่ การเจริญฌานทั้ง ๔
คือ
|
ปฐมฌาน หรือฌานที่ ๑ |
|
ทุติยฌาน หรือฌานที่ ๒ |
|
ตติยฌาน หรือฌานที่ ๓ |
|
จตุตถฌาน หรือฌานที่ ๔ |
เคล็ดลับการเป็นพหูสูต ๕ อย่าง
๑.ฟังมาก หรือศึกษาเล่าเรียนมาก
๒.จำมาก คือหมั่นสังเกตจดจำสิ่งต่างๆที่เห็นมา เรียนมา
๓.ท่องจนคล่องขึ้นใจ คือจำได้โดยไม่ต้องนึกคิด
๔.เจนใจ คือการคิดจนสร้างมโนภาพในใจขึ้นได้ทันที
๕.ทะลุปรุโปร่ง คือนำข้อมูลที่ได้ศึกษามาพิจารณาเป็นข้อสรุป
อธิบายต้นสายปลายเหตุได้อย่างถูกต้อง
อานิสงส์ในการฟังธรรม ๕ ประการได้แก่
๑.ย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง
๒.สิ่งที่ได้ฟังแล้ว ย่อมชัดเจนแจ่มแจ้งขึ้น
๓.บรรเทาความสงสัยเสียได้
๔.ทำความเห็นให้ตรง
๕.จิตของผู้ฟังย่อมผ่องใส
*ไม่ได้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แต่เป็นโอวาทที่ท่านธนัญชัยเศรษฐีได้ให้ไว้กับนางวิสาขาก่อนออกเรือน
ซึ่งถือว่าเป็นข้อพึงปฏิบัติที่ดีสำหรับสตรีทั่วไป จึงได้นำมากล่าวไว้ ณ ที่นี้